หน้าเว็บ










ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Surasak5-2aff.blogspot.com ครับผม จะหาอะไรที่ ผมโพส กรุณามองไปที่ Update List ด้านขวาล่าง นะคับ Welcome to Surasak5-2aff.blogspot.com will seek ? at me posts , please stare go to at Update List.







หยุด ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

พูดคุยกันได้ที่นี่ ! ShoutMix


ShoutMix chat widget

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อย่าทำร้ายความรักของคุณ ด้วยคำว่าเบื่อ




ยังไงไม่ให้ "เบื่อ"

1. ความเชื่อใจกัน


          ความเชื่อใจนี้ถือเป็นการให้เกียรติ และการยอมรับในความต้องการที่แตกต่างของกันและกัน หมายถึงทั้งคู่ต้องไม่โกหก หลอกลวง และจะไม่พูด หรือทำสิ่งใดที่ทำให้อีกคนต้องเสียใจ หรือเป็นการ ทำลายชีวิตคู่

2. การรักษาสัญญา

          นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตแต่งงาน เมื่อคุณได้ให้สัญญาต่อกัน สัญญานั้นเปรียบเสมือนเกราะป้องกัน ไม่มีสิ่งใดมาทำลายความรักของคุณได้ "จะรักคุณไม่ว่ายามเจ็บหรือยามสบาย จะรักคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่" คำสัญญานี้จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายจากกันไปเท่านั้น การรักษาคำมั่นสัญญานอกจากจะช่วยให้คุณทั้งสองสามารถผจญกับอุปสรรคต่าง ๆ จนไปถึงเป้าหมายสูงสุดได้แล้ว มันยังช่วยให้คุณดิ่งลงสู่ก้นเหวแห่งความทุกข์..เพราะคุณผิดคำสัญญานั้น


3. มีทักษะความชำนาญ

          ชีวิตแต่งงานเป็นการที่คนทั้งสองตกลงว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ซึ่งต้องอาศัยการทำความเข้าใจกันมากเป็นพิเศษ คุณต้องสามารถแสดงออกว่าต้องการอะไร รู้จักรับฟังเหตุผลของอีกฝ่าย สามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้ดี สามารถไกล่เกลี่ยต่อรองได้ แก้ปัญหาข้อขัดแย้งได้ ให้ความสนใจที่จะพูดคุยกัน และแน่นอน คุณจำเป็นต้องรู้ว่าจะทำมาหากินอะไร และรู้วิธีทำอาหาร วิธีดูแลบ้านช่องให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสำคัญที่สุด วิธีการเป็นพ่อเป็นแม่คนที่ดีเขาทำกันอย่างไร

4. การเอาใจใส่ดูแล

          วิธีทะนุถนอมให้ชีวิตคู่ยืนยาวนั้นคุณต้องรู้จักวิธีเอาอกเอาใจกันบ้าง บางคู่แค่มองตาก็รู้ว่าต้องการอะไร และจะทำแต่สิ่งที่เขาชอบ และจะไม่ทำอะไรที่เขาไม่ชอบให้ขุ่นเคืองใจ ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกมีความสุขเหลือเกินที่ได้คุณเป็นคู่ชีวิต

5. การเอาใจเขามาใส่ใจเรา

          "จงทำกับคนอื่นเหมือนกับที่อยากให้คนอื่นทำกับคุณ" หมายความว่า การจะทำสิ่งใดก็ตาม ให้คุณคิดก่อนว่า เมื่อทำแล้วจะทำให้เกิดผลดีผลเสียกับใครหรือเปล่า ถ้าไม่ดีก็อย่าทำ เพราะคุณคงไม่อยากให้ใครมาทำแบบนั้นกับคุณเหมือนกัน วิธีนี้นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณทำอะไรที่จะทำร้ายจิตใจคนที่คุณรักแล้ว ยังเป็นเหมือนตาข่ายที่จะช่วยกลั่นกรองให้คุณทำหน้าที่สามีหรือภรรยาที่ดี ได้สำเร็จอีกด้วย

6. ความเพียร

          จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณเป็นคนที่เชื่อใจได้ รักษาสัญญา มีความรู้ มีทักษะ และรู้วิธีดูแลเอาใจใส่ แต่ไม่ได้ใช้มัน การที่ชีวิตคู่จะอยู่ดีมีสุขได้คุณต้องใช้ความพยายามในทุก ๆ ด้าน ตลอดทั้งชีวิตของคุณทีเดียว

7. การคาดหวัง

          เหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้คู่สามีภรรยารู้สึกว่าชีวิตแต่งงานของตัวเองล้ม เหลว เมื่อพบว่าอีกฝ่ายหนึ่งตั้งความหวังกับตัวเองไว้สูงมาก เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะวาดวิมานในอากาศถึงความสุขีสุโขกับชีวิตคู่ โดยคาดหวังว่าคู่ของตัวจะต้องเลิศเลอเพอร์เฟค เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดี เป็นตู้ ATM ให้กดได้ตลอดเวลา และที่สำคัญมีความช่ำชองที่สุดกับเรื่องบนเตียง เฮ้ย.. ดูท่าความฝันคงไม่มีทางเป็นจริงได้! เพราะเรื่องจริงกับความฝันมันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน แน่นอนที่คุณจะต้องพบกับความผิดหวังครั้งใหญ่ ต้องเผชิญกับความล้มเหลว ความเสียใจ แต่เชื่อเถอะในที่สุด คุณจะค่อย ๆ ยอมรับความจริงได้เอง

วิธีบำรุงชีวิตคู่ให้สุขสันต์

          เลือก เวลาเหมาะ ๆ เพื่อใช้เป็นเวลาอันมีค่าสำหรับพูดคุยกับคนรักเกี่ยวกับชีวิตคู่ของคุณทั้ง สอง หมั่นแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้สึก และความต้องการของคุณ แต่เฉพาะในแง่ดีและสร้างสรรค์เท่านั้น เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะมาต่อว่าหรือโต้เถียงกัน

       
กล้า ที่ จะเปิดเผยความรู้สึกที่เป็นตัวตนจริง ๆ ออกมา ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์แบบไหน (สนุกสนานเริงร่า เจ็บช้ำน้ำใจ เพ้อฝัน หรือแม้แต่เวลายินดีมีความสุข) โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล ดีเลว และถูกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น

       
ค่อย พูดค่อยจากันด้วยภาษาดอกไม้ให้ฟังแล้วรื่นหู "ฉันชอบจังค่ะ เวลาที่คุณช่วยฉันล้างจาน" พูดอย่างไรก็ได้ให้คนฟังรู้สึกดี ๆ และไม่เป็นการจุดชนวนสงครามน้ำลายขึ้นกลางวง

          ควร ให้ มีการ "ขอเวลานอก" ในกรณีที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรู้สึกอึดอัด หรือยังไม่พร้อมที่จะสนทนาในเรื่องนั้น ๆ ต่อ ก็สามารถ "ขอเวลานอก" ซึ่งอาจจะพักสักครู่หนึ่งหรือไม่ก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาซะ โดยไม่ต้องถามเหตุผลใด ๆ ทั้งนั้น เพราะเราจะรู้สึกสนุกกับการเล่าก็ต่อเมื่อเราสามารถเลือกเรื่องเลือกเวลาที่ เราอยากเล่าได้

          หัด ฟังคนอื่นเขาบ้างและต้องฟังอย่างตั้งใจด้วยว่าที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร แล้วลองเช็คกลับไปด้วยการพูดทวนว่า ที่คุณเข้าใจนั้นถูกต้องตามที่เขาพูดไหม จำไว้ว่า "เมื่อไรที่ไม่แน่ใจ ไม่เคลียร์ ให้ถามได้เลย! "

ขอเพียงอย่านำดวงใจ .. ไปให้ใครเหยียบเล่น



เมื่อต้องการความสุขที่ยั่งยืน
        มาเป็นรางวัลตอบแทนการเกิดมาของชีวิต
        เราไม่ควรที่จะให้จิตใจไหลลู่
        ตามแรงโน้มถ่วงของอารมณ์
        ไม่ควรให้ความรู้สึกที่ติดลบมาเหยียบย่ำชีวิตจิตใจ
        แล้วต้องทำให้เราเป็นได้แค่ผู้ยอมจำนน

        การเรียกร้องเพื่อได้ครอบครองความสุขแต่ปฏิเสธที่จะอยู่กับความทุกข์ เชื่อว่าเป็นธรรมดาที่เราทุกคนล้วนมีความรู้สึกเช่นนั้น เพราะเรามักจะคิดว่าความสุขเป็นสิ่งที่ชวนให้เข้าไปสัมผัส แต่ความทุกข์เป็นสิ่งที่ควรผลักไสออกไปให้ไกลตัว

        แต่ผู้อ่านสังเกตไหมว่า แม้เราจะเกลียดความทุกข์ หรือต้องการหันหน้ามารักกับความสุขมากเพียงใด แต่หากไม่เข้าใจวิธีสร้างสุขให้เกิดมีแก่ตัวเรา และไร้วิธีปลดปล่อยความทุกข์ให้ออกไปไกลตัว เราก็ยังเชื่อว่ามีความทุกข์ที่พร้อมจะทอดเงาไปกับเราอยู่ทุกเมื่อเช่นเคย

        ผู้อ่านลองสังเกตต่อไปอีกว่า หลายครั้งที่เราชอบชี้บอกเพื่อให้คนอื่นมีความสุข แต่หลังฉากของความสุขนั้น เรากลับต้องจมอยู่กับความทุกข์เสียเอง เป็นประเภทหน้าชื่นแต่อก ตรมอย่างน่าสงสาร ทั้งที่บางครั้งปัญหาที่คนอื่นมองว่าใหญ่หลวงยิ่ง เรากลับมองว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่น่าจะก่อให้เกิดความวุ่นวายได้แต่อย่างใด เพราะเรามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจ และรู้จักวางใจที่จะทำความรู้จักกับปัญหาอย่างรู้เท่าทัน

       ตรงกันข้าม เมื่อวันหนึ่งเราประสบกับปัญหา ที่ทำให้ความทุกข์มากลุ้มรุ้มจิตใจ เราเองกลับรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ช่างเป็นเรื่องลำบากที่จะผ่านมันไป ทั้งที่เรื่องที่เกิดขึ้นคน อื่นกลับมองว่า มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้ การจะแสวงหาความสุขให้เกิดขึ้นกับชีวิตจิตใจของเรา จึงไม่ใช่อยู่ที่การสัมผัสแค่ความสุขที่ได้รับเท่านั้น แต่รวมถึงการทำความรู้จักความทุกข์ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจอีกด้วย

        พระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า ธรรมชาติของชีวิตนั้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป เมื่อใดที่เราเข้าใจกระบวนการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ อย่างรู้เท่าทัน ไม่หลงประเด็นในเรื่องราวที่ปรากฏ เราย่อมเกิดปัญญาจากสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็นปัญหาเสมอ แต่สำหรับคนทั่วไป เวลาประสบกับความทุกข์หรือปัญหา เรามักปฏิเสธที่จะทำความเข้าใจมัน โดยอาศัยการเบี่ยงเบนไปที่อื่น เพื่อกลบเกลื่อนความทุกข์ที่มีอยู่ เพราะเราชอบคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่า ความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ โดยไม่ต้องลงมือแก้ไขที่จิตใจแต่อย่างใด เราก็สามารถที่จะผ่านมันไปได้เช่นกัน

        หลายคนจึงชอบใช้วิธีเลี่ยงความทุกข์ ด้วยการไปทำอย่างอื่นแทน อาจแสวงหาวัตถุเงินทองเพื่อมาบำบัดให้ทุกข์ทุเลา เมื่อใช้วิธีหลบเลี่ยงอยู่นานวัน และรู้สึกว่ามันแก้ไขได้ เราจึงคิดว่าสิ่งเหล่านี้แหละ คือเครื่องมือในการกำจัดทุกข์หรือปัญหาอย่างถาวร ทำให้เราพลัดหลงจากความจริงที่ควรรับรู้อย่างน่าเสียดาย เราจึงบ่ายหน้าไปสู่กับดักของความทุกข์ โดยที่เราเองก็ยินดีที่จะเป็นทาสรับใช้ ซึ่งเหมือนกับการนำชีวิตที่มีค่าไปฝากไว้กับคนที่ไม่เห็นคุณค่า สุดท้ายเราจึงถูกทำร้ายให้เจ็บช้ำในเวลาต่อมา 

        ความสุขที่ควรจะเกิดขึ้นแก่เรา จึงเป็นพียงภาพลวงตาที่เราเข้าใจว่ามันใช่เท่านั้น แม้วันหนึ่งเราอาจต้องการหนีออกไปให้ไกลจากความทุกข์ที่มาคุมขังเรา ภาพลวงของความร้ายก็มักทำลายคุณค่าหลายๆอย่างให้หายไปจากเรา เกินกว่าจะกู้กลับคืนมาได้ดังเดิม แต่เมื่อเรารู้จักสร้างความเข้าใจให้กับตัวเอง รู้จักดูแลจิตใจอันเป็นหัวใจหลักของการมีชีวิตอยู่ ด้วยการอาศัยสติมาคอยดูแล เพื่อให้ทุกอย่างได้ดำเนินไปอย่างเข้าใจ นั่นชื่อว่าเรากำลังสร้างวิธีให้ใจของเราได้ทำหน้าที่อย่างที่มันควรจะเป็น เป็นการให้ชีวิตจิตใจของเราได้เรียนรู้ที่จะอยู่อย่างมีคุณค่า เพื่อให้ชีวิตได้เป็นแหล่งพักของสิ่งต่างๆอย่างที่มันควรจะเป็น โดยให้ใจได้ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามา แล้วทำการแยกแยะสิ่งดีและร้ายให้ออกจากกัน

        พร้อมกันนั้น ก็ให้ใจได้เรียนรู้ทั้งด้านบวกและด้านลบของปัญหา แล้วรู้จักที่จะสร้างปัญญาจากความยุ่งยาก ที่เคยทำให้ผู้ที่ไร้สติครองน้ำตานองหน้ามาก่อน ได้แปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ เพราะรู้เท่าทันปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อทำได้เช่นนี้ ทุกการเคลื่อนไหวของชีวิตจิตใจที่เราได้ครอบครอง ก็พร้อมที่จะแปรขบวนชีวิต ให้เป็นไปในกรอบของความดีงามตามวิถี ซึ่งช่วยฟ้องให้เรารู้ว่าชีวิตมีค่าเสมอหากเราเข้าใจมัน

        พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แม้จะถูกล้อมกรอบให้ลุ่มหลงในความเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์เพียงใด แต่พระองค์ก็ไม่ยอมที่จะให้สิ่งร้ายๆ มาครอบครองพื้นที่ชีวิตทั้งหมด พระองค์ได้เรียนรู้ที่จะฝึกใจให้เข้มแข็ง ด้วยการหมั่นไตร่ตรองข้อบกพร่องที่มีอยู่ เพื่อให้เห็นความจริงที่ชีวิตควรจะรู้จัก จนเมื่อการฝึกฝนที่จะออกจากปัญหาสุกงอม พระองค์จึงเลือกที่จะสละความเป็นเจ้าชาย แล้วมาอยู่กับเหตุผลของคนธรรมดาที่สามารถบรรลุสัจธรรมในชีวิตได้

        เหตุผลหลักที่ทำให้เจ้าชายผู้เคยอยู่สุขสบายในทางโลกได้เลือกเปลี่ยนมา อยู่กับความสุขสงบทางธรรม เพราะพระองค์ได้เรียนรู้ว่า ตราบใดที่ชีวิตยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ แม้วันนี้อาจรู้สึกว่ายังสุขสบายดี แต่หากความสุขนั้นเป็นของปลอม เราย่อมบ่ายหน้าไปสู่ความทุกข์ในครั้งใหม่เช่นเดิม แต่หากยอมเหน็ดเหนื่อยในวันนี้ ด้วยการฝืนทวนกระแสความคิดที่มาบังคับเพื่อหลอกให้เราทำตาม แม้เบื้องต้นอาจเหนื่อยล้าเพราะถูกปัญหารุมเร้า แต่เมื่อฝึกฝนจนก้าวผ่านได้ ทุกหยาดเหงื่อของความรู้สึกที่เคยร้อนลน ย่อมกลายเป็นน้ำฝนที่พร่างพรมลงมาให้เรารู้สึกเย็นใจได้ในทุกครั้งที่สัมผัส

        ดังนั้น เมื่อต้องการความสุขที่ยั่งยืนมาเป็นรางวัลตอบแทนการเกิดมาของชีวิต เราไม่ควรที่จะให้จิตใจไหลลู่ตามแรงโน้มถ่วงของอารมณ์ ไม่ควรให้ความรู้สึกที่ติดลบมาเหยียบย่ำชีวิตจิตใจ แล้วต้องทำให้เราเป็นได้แค่ผู้ยอมจำนน แต่เราควรรู้จักเรียนรู้และทนฝืนความรู้สึกที่เป็นการตามใจ ให้เปลี่ยนมาเป็นความต้องการที่จะฝึกฝืน เพื่อให้ผ่านความรู้สึกที่เคยชื่นชอบ ให้มาเป็นความเข้าใจตามความเป็นจริง โดยมีสติปัญญาเป็นผู้คอยกลั่นกรองให้เห็นความสงบนิ่งของใจแทน

        แล้ววันหนึ่งที่ฝึกฝนจนสอบผ่าน เราย่อมมีจิตใจที่แข็งแกร่งเป็นของตัวเอง ซึ่งจะเป็นเครื่องนำพาให้เราได้เดินไปสู่ชีวิตที่สงบสุข และมีความงามของการสร้างสรรค์ ดั่งคนที่ไร้ทุกข์ทางจิตอย่างถาวร

        เมื่อถึงวันนั้น ความทุกข์ที่เคยเหยียบย่ำให้เจ็บช้ำ ก็จะกลายเป็นครูสอนให้เราฉลาดขึ้น และทำให้เรากล้าที่จะก้าวข้ามปัญหา เพื่อไปสู่การเกิดปัญญาชนิดใหม่ ที่จะทำให้เราเป็นผู้ขึ้นไปยืนอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวงได้อย่างสง่างาม

ต่างคน ต่างอยู่ ... จะดีหรือ



โดย: สราญดี

          หลายคนรู้สึกว่าการเอาอกเอาใจอีกฝ่ายเพื่อถนอมความสัมพันธ์ มันช่างเป็นงานแบกอิฐแบกปูนแท้ ๆ
    
          เมื่อเราเบื่อกันและกัน ก็เลิกอยากจะถกเถียงเพื่อหาทางแก้ไข เลิกใส่ใจกันไป สิ่งที่ดีที่สุดที่นึกออกก็คือมองหาโลกส่วนตัวที่สร้างความสุขให้เราได้โดย ไม่มีกันและกันอีกต่อไป ยิ่งจมดิ่งอยู่ในโลกส่วนตัวมากแค่ไหน ก็ยิ่งเข้าถึงกันได้ยากขึ้น เพราะจะไม่มีช่องว่างเวลาให้กัน และความเพลิดเพลินของเขาเราก็ไม่ทนเห็นเป็นเรื่องพอจะสนุกไปกับเขาได้อีก

          ต่างคนต่างอยู่ดูจะเป็นทางออกที่ให้ความสงบสุขทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องร้อนรุ่มกลุ้มใจเพราะเขา ไม่ต้องมาเสียเวลาเอาใจ หรือคาดหวังการเอาใจให้เหนื่อยแรง
    
          ดูเหมือนจะดี แต่การปล่อยความรู้สึกที่มีต่อกันไปตามยถากรรม โดยไม่ได้ลงมือแก้ไขเลยสักอย่าง จะเห็นแววรุ่งในชีวิตคู่ไหมละเนี่ย
    
          หลายคนรู้สึกว่าการเอาอกเอาใจอีกฝ่ายเพื่อถนอมความสัมพันธ์ มันช่างเป็นงานแบกอิฐแบกปูนแท้ ๆ ต้องฮึบขึ้นมาหนึ่งตั้ง ต้องจัดสรรเวลา ต้องเป็นกระบวนการใหญ่ ประมาณว่าจัดโต๊ะดินเนอร์ใต้แสงเทียน หรือชวนกันไปเที่ยวทะเล อันที่จริงแค่การให้ความสนใจเขาในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุก ๆ วัน สัมผัสกันหรือกอดกันบ้าง เป็นความโรแมนติกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้เรามีชีวิตชีวาโดยไม่ต้องทุ่มเทมาก
    
          ถ้าเขากับเรามีความสุขกับงานอดิเรกคนละแบบกับเรา ก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่ว่าเขาจะหมกมุ่นอยู่กับพระเครื่อง (อุ๊ย! เคสเจาะจงไปนิด อันตรายต่อความมั่นคงในครอบครัว) คือจะยกตัวอย่างกว้าง ๆ อย่างผู้ชายบ้ารถแล้วไม่อินค่ะ เลยโม้ไม่ออก อินอย่างยิ่งกับอาการของคนมีแว่นประจำตัวส่องทุกมื้อและก่อนเข้านอน และง่วนอ่านตำราศึกษาจนเป็นน้อง ๆ เกจิ
    
          ตามทฤษฎีบอกว่า ควรจะให้ความสนใจกับสิ่งที่เขารักบ้าง เพื่อเปิดประตูไปสู่โลกส่วนตัวของเขา แหมคุณคะ ใครอยากตายิบหยีนั่งส่องพระมั่ง ฟังเขาเล่าอะไรการรับรู้ก็ยังเป็นศูนย์อยู่ดี นั่งดูนักฟุตบอลหล่อๆ เป็นเพื่อนยังง่ายเสียกว่า
    
          ปัญหานี้แก้เองไม่ตก หันไปคุยกับพี่ ๆ ผู้มากประสบการณ์ พี่ ๆ บอกว่า มีส่วนร่วมไปกับเขาวิธีอื่นก็ได้ หากล่องสวย ๆ มาให้ใช้เก็บของรักของปลื้ม หรือเสนอตัวช่วยจัดหนังสือเป็นหมวดหมู่ใส่ชั้นวาง คุณพี่จะได้หยิบง่ายใช้คล่อง มีงานประกวดที่ไหนรีบรายงาน นาน ๆ ควงแขนไปเป็นเพื่อนซะที ไม่อยากไปก็ให้นึกเสียว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเราทุกวันซะเมื่อไหร่
    
          แล้วการที่เราได้แอบมองคนที่เรารักมีความสุขดวงตาเป็นประกายระยิบระยับก็ เป็น เรื่องดีนี่นา นาน ๆ ไปอาจสนุกไปด้วยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีโลกคนละใบเสมอไป
    
          แฮ่..ยังไม่เคยทำเลยค่ะ จะลองดู
   
          ก่อนที่จะคิดว่าควรใช้วิธีไหน ทั้งเราและเขาต่างต้องสะสมต้นทุนไว้เยอะ ๆ นะคะ งานวิจัยอันหนึ่งของมหาวิทยาลัยวอชิงตันพบว่า คู่ ผัวตัวเมียที่อยู่เย็นเป็นสุข นอกจากรักกันแล้ว ยังสะสมความรู้สึกดี ๆ เป็นทุนสำรองอยู่มาก เมื่อคู่แบบนี้ทะเลาะกันกี่ครั้งกี่หน หรือจะเกิดความเบื่อขึ้นมาในบางช่วงก็ตาม ถ้ามันจบไปแล้ว ความรู้สึกดีต่อกันก็ยังอยู่
    
          เพราะฉะนั้นเ ตือนสติตัวเองว่าถ้าเริ่มมองเขาในแง่ร้ายเมื่อไหร่ให้หยุดซะเถิดทูนหัว จะได้ไม่ต้องเหม็นหน้ากัน

บทเรียนรัก .. ที่คุณอาจไม่คาดคิด







การ แต่งงานที่เกิดจากการถูกจับคู่อาจฟังดูไม่โรแมนติกเอาเสียเลย แต่ผู้หญิงที่เลือกแต่งงานแบบนี้อาจสามารถสอนเราได้บางอย่างในการมีความสุข กับชีวิตคู่ เพราะผู้หญิงเหล่านี้มีความคิดในเรื่องความรักและความโรแมนติกที่เป็นจริง มากกว่า ซึ่งทำให้พวกเธอสามารถมีความสุขกับคนที่อยู่ด้วยได้  นี่เป็นข้อมูลจาก วีว่า เซ็ธ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง First Comes Mamiage และต่อไปนี้คือบทเรียนบางอย่างที่ควรจำไว้




l . ค้นหาความเข้มแข็งภายในของคุณ
ผู้หญิงที่แต่งงานแบบถูกจับคู่ไม่ได้คาดหวังว่า สามีของพวกเธอจะต้องเติมเต็มความต้องการทางอารมณ์ของพวกเธอทุกอย่าง เซ็ธได้อธิบายว่า พวกเธอจะมองสามีเป็นหุ้นส่วนชีวิตเป็นเพื่อน และเป็นผู้ให้การสนับสนุน แต่ไม่ใช่ผู้เดียวที่จะให้ความสุขแก่พวกเธอ ฉะนั้น แทนที่จะพึ่งพาแต่สามีผู้หญิงเหล่านี้จะรู้จักสร้างความสุขด้วยตัวเอง และผลก็คือพวกเธอไม่ได้เก็บกักความขุ่นข้องหมองใจต่อสามีเอาไว้ในยามที่พวก เขาไม่อาจเติมเต็มสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แก่พวกเธอ


       

2. เน้นในสิ่งที่คุณชอบในตัวของกันและกัน
เพราะผู้หญิงที่แต่งงาน จากการถูกจับคู่รู้ว่า พวกเธอต้องเรียนรู้ที่จะรักสามีของตัวเอง พวกเธอจึงสนใจแต่สิ่งที่ดีๆ ในตัวเขา และปล่อยวางสิ่งเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญนัก แทนที่จะจมอยู่แต่กับความคิดที่ว่า ทำไมเขาไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้ พวกเธอจะมองหาสิ่งที่สามีทำได้ดีและถูกต้องแทน และเมื่อเธอชื่นชมในสิ่งที่สามีทำ เขาก็จะรู้สึกแบบเดียวกันต่อเธอ


       

3. ความโรแมนติกนิยามใหม่
เนื่องจากการแต่งงานแบบถูกจับคู่ไม่ได้ เกิดจากการเกี้ยวพาราสี และทำความรู้จักกันตามปกติ ผู้หญิงที่แต่งงานแบบนี้จึงไม่มีความคาดหวังในเรื่องการแสดงความโรแมนติกแบบ ดั้งเดิม (เช่น ดินเนอร์ใต้แสงเทียน) แต่พวกเธอจะให้คุณค่าแก่การแสดงความเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ ที่บ่อยครั้งอาจมีความหมายได้มากกว่า

รูปหัวใจ ใครคิดค้นขึ้นมานะ


สังเกตไหมว่า
ที่จริงรูปหัวใจที่เราใช้ ๆ กันอยู่เนี่ย หน้าตามันไม่ค่อยเหมือนหัวใจจริง ๆ
ของคนเราสักเท่าไหลแต่ก็ไม่แปลกหลอกที่ของจริงกับสัญลักษณ์จะดูเหมือนแฝดคนละฝา
เพราะคนที่สร้างสัญลักษณ์นี้ขึ้นมา เป็นกลุ่มแรกเชื่อกันว่าเป็นพวกนายพรานยุโรป
ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์โน่น หรือเผลอๆ อาจจะเป็นคนรุ่นสุดท้ายในยุคน้ำแข็งเลยก็ได้




มีหลักฐานการค้นพบรูปหัวใจบนผนังถ้ำอายุ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ในประเทศสเปน
และเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกยอมรับ ว่ามีความคิดสร้างสรรค์ สูงมากสำหรับมนุษย์เมื่อ 10,000 ปีก่อน
เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่มีทั้งส่วนเว้าและส่วยโค้ง ซึ่งคนในยุคนั้นต้องสู้ชีวิตกันสาหัสมาก
คงไม่ค่อยว่างมาดีไซน์อะไรกันมากมายได้ขนาดนี้ นี่ต้องเรียกว่า ปาฏิหาริย์สรรค์สร้างสุดฤทธิ์แล้ว


เหตุผลที่นายพรานรุ่นพระเจ้าเหาสร้างสัญลักษณ์หัวใจขึ้นก็เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์
ของอวัยวะที่ตรึงชีวิตให้คงอยู่ จากนั้นรูปหัวใจก็ตกทอดมาเรื่อย ๆ เป็นสมบัติแบกะดิน
แล้วแต่ใครจะเอาไปใช้ แต่ส่วนใหญ่ก็จะใช้ในทางศาสนา เพื่อสื่อถึงชีวิตและรูปร่าง
ของสัญลักษณ์หัวใจก็มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลาจนมีสภาพอย่างที่เราเห็นนี่ล่ะ




พอมาถึงยุคกลาง สัญลักษณ์รูปหัวใจเริ่มมีความหมายเฉพาะมากขึ้น

แต่ก็ยังมีหลายความหมายแล้วแต่ว่าจะอยู่ที่ไหน เช่น ถ้าอยู่ที่ประเทศหนึ่ง
รูปหัวใจจะหมายถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่พอไปอีกประเทศหนึ่งกลับหมายถึง
การไปด้วยกัน หรือในบางพื้นที่หัวใจก็มีความหมายที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างเช่น
หมายถึงไฟ หรือหมายถึงการบินก็ยังมี




ในประเทศสวีเดน หัวใจหมายถึงห้องน้ำ ที่ใช้ร่วมกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย
ชาวกรีกใช้สัญลักษณ์รูปหัวใจเป็นใบไม่ประดับมาลัยมงกุฎ ของเจ้าไดโดซุส
แต่ต่อมาเปลี่ยนมาประดับมงกุฎให้กามเทพแทน นั่นแสดงว่ารูปหัวใจเริ่มมีความหมาย
สื่อถึงความรักตั้งแต่สมัยนี้แล้ว






มีคนให้ความเห็นว่าสัญลักษณ์รูปหัวใจมีลักษณะคล้ายสะโพก
ซึ่งก็มีเสียงขานรับในทำนองเห็นด้วยมากมาย เพราะเชื่อกันว่าสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
มีวิวัฒนาการสูงอย่างลิงหรือคน สะโพกเป็นส่วนที่กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ จึงเป็นไปได้ว่า
สะโพกนี้เองที่เป็นจุดกำเนิด หรือที่มาของรูปหัวใจในปัจจุบัน




จาก..wintesla2003

จีบสาวทางโทรสัพทำไงดี

1. แค่ครึ่งชั่วโมงพอ
การโทรคุยกับสาวจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือการชวนเธอออกเดท ไม่ใช่ไปสนทนาปัญหาบ้านเมือง เอาไว้คุยกันตอนออกเดทจะดีกว่า


2. ขอวางตอนสนุก
คุณอาจไม่เคยวางสายในขณะที่การสนทนาเป็นไปอย่างสนุกสนานออกรสชาติแถมยังคุย ต่อไป 3 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง จนในที่สุดก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแต่ก็ยังไม่วางสาย จนในที่สุดเธอก็เบื่อคุณ สิ่งที่ต้องทำ คือคุณต้องวางสายทุกครั้งที่คิดว่าการสนทนากําลังเป็นไปอย่างสนุกเรียกว่า เมื่อถึง"จุดสุดยอด" เมื่อไหร่ คุณต้องวางทันทีเพราะจะทําให้เธอคิดถึงคุณ คิดถึงบท สนทนาที่ดีระหว่างคุณและเธอและพอครั้งต่อไปที่คุณโทรไปหาคุณจะรู้สึกได้เลย ว่าเสียงเธอนั้นดีใจมากเวลาที่คุณโทรมา


3. วางสายก่อนได้เปรียบ
อย่ารอให้สาวเป็นคนขอวางสายก่อน คุณต้องบอกเธอก่อนทุกครั้งโดยที่จะต้องทําตัวให้ท้าทาย ทําเหมือนว่ามีสิ่งที่สําคัญกว่าเธอรอคุณอยู่ทําให้เหมือนกับว่าคุณนั้นชอบ ที่จะคุยกับเธอ แต่ถ้าไม่ได้คุยคุณก็ไม่เป็นไร


4. โทรทำไมทุกวัน
หลายคนคงคิดว่าการคุยโทรศัพท์จีบสาว ต้องโทรไปทุกวัน โทรไปเรื่อย ๆบอกเธอว่าคิดถึงอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ใจอ่อนเองบอกได้เลยว่าคุณกำลังคิดผิดผู้หญิงนั้นถ้าเธอชอบ เราไม่ว่าจะโทรไปทุกวันหรือไม่โทรหาเธอเธอก็ยังชอบคุณอยู่ดี การที่ไม่โทร ไปหาเธอบ้างจะทําให้เธอกระวนกระวายใจและคิดถึงคุณมากยิ่งขึ้น แต่คุณลองคิดดูถ้าเธอยังไม่ได้ ตัดสินใจว่าจะชอบคุณหรือไม่ แต่คุณโทรไปหาเธอทุกวัน ๆคุณนั้นกําลังบอกเธอเลยว่า ความสุขทั้งหมดของคุณขึ้นอยู่กับเธอคนเดียวคุณไม่ได้เป็นสิ่งที่ท้าทายเลย สําหรับเธอ เธอรู้ได้ทันทีว่าคุณเป็นลูกไก่ในกํามือ โทรไปวันเว้นสองวันบ้าง บางครั้ง ก็ 3-4 วันครั้งจะทําให้เธอรู้ว่าคุณมีชีวิตเป็นของตัวเอง


5. คุยเรื่องอื่นบ้าง
อย่ามัวแต่คุยเรื่องทั่วไป เช่น ทําอะไรอยู่ อยู่ที่ไหนวันนี้กินข้าวกับอะไร วันนี้ไปไหน ช้อปปิ้งมา เหรอ ซื้ออะไรมาการคุยแบบนี้ใครก็คุยกับเธอได้และคุณจะทําให้เธอเบื่อการคุย เรื่องทั่วไปนั้นเรา จะคุยเฉพาะตอนแรกๆ ที่เราโทรไปเท่านั้นจากนั้นคุณต้องคุยเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้สึกเธอ ความคิด ของเธอถามเธอว่าเธอคิดยังไง รู้สึกยังไงกับเรื่องนี้เรื่องนั้นจากนั้นก็ให้เธอเผยตัวตนของเธอออกมา ให้เธอเปิดใจกับคุณมากขึ้นและที่สําคัญคืออย่าคุยเรื่องที่มันเครียดหา เรื่องที่คุยแล้วทำให้เธอรู้สึกสบายใจแล้วเธอจะรู้สึกไว้ใจคุณยามที่เธอมี เรื่องไม่สบายใจอะไรเธอจะคิดถึงคุณก่อนเป็นคนแรก และเป็นฝ่ายโทรไปหาคุณเองจากนั้นค่อยสร้างสัมพันธ์แล้วค่อยขอเธอเป็นแฟน แต่ขอฝากไว้หน่อยนะไม่ใช่โทรคุยกันครั้งแรกก็ขอเป็นแฟนเลย วัยรุ่นอย่าใจร้อนเพราะสิ่งไหนที่ได้มาง่ายก็ไปง่ายได้ เช่นเดียวกัน

เรื่องน่ารู้ อาการที่บอกว่า เขาแอบชอบเราอยู่


เรื่องน่ารู้ อาการที่บอกว่า เขาแอบชอบเราอยู่


  • เขาหรือเธอนั้นมักจะบอกให้เรารู้อยู่เสมอว่า แพลนของเขาจะทำอะไรหรือไปไหนบ้าง ทั้งทางตรงและทางอ้อม อาจบอกผ่านเพื่อนเรามาก็ได้ หรือจากการคุยกันในกลุ่มเพื่อน
  • คนๆ นั้นมักจะยกเลิกธุระหรืองานอื่นๆ เพื่อใช้เวลาอยู่กับคุณเพียงคนเดียวได้ โดยไม่ต้องหาเหตุผล
  • เขา หรือเธอคน นั้นมักจะชวนคุณไปไหนมาไหนด้วยเสมอๆ หิวหรือเปล่า มาทานข้าวด้วยกันไหม เป็นคำชวนธรรมดาๆ ที่อาจแผงด้วยความรู้สึกที่พิเศษก็ได้นะ
  • คนๆ นั้น มักจะเข้ามาปลอบคุณยามที่คุณ กำลังรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังและต้องการใครซัก คน
  • คนๆ นั้นมันวงเวียนอยู่ใกล้ๆ ตัวเราเสมอ แต่บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัวเลย
  • เมื่อคนๆ นั้นหันมาสบตากับเราเค้ามักจะหลบตาเสมอ
  • คนๆ นั้นมักจะยิ้มมาทางเราบ่อยๆ

ถ้าแคร์คำพูดแย่ ๆ ก็เท่ากับแพ้ใจตัวเอง




[size=+0][size=+0][size=+0][size=+0]
ถ้าแคร์คำพูดแย่ ๆ ก็เท่ากับแพ้ใจตัวเอง  
คำพูดบางคำทำร้ายคนฟังได้น่าดู
ถ้าจะให้ไม่แคร์เนี่ย ทำได้ยากแน่นอน

ฉันเคยรู้สึกแย่ กับคำพูดแย่ ๆ ของคนหลายคน
คำพูดของเขาทำให้เราหมดความนับถือตัวเอง
บางครั้งมันอาจถึงขนาดทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
บั่นทอนสุขภาพกายและใจ

คำพูดทิ้งยาพิษไว้ในใจเรา แล้วก็หนีลอยนวล

คนที่แย่คือคนฟังสิ...
ฉันเลยเปลี่ยนความคิดใหม่
พยายามหาเหตุผลเพื่อเข้าใจพวกเขา
คนที่ชอบติข้อบกพร่อง
ตอกย้ำปมด้อยของคนอื่น เพราะต้องการให้ตัวเองดูดี

คนพวกนี้มีปมด้อยในใจ ชอบสร้างคุณค่าให้ตัวเอง
โดยการติคนอื่น เพื่อลดคุณค่าของคนอื่น
จิตใจเขาขุ่นมัว มองไม่เห็นความดี ความสวยงาม

และสิ่งดี ๆ ในตัวคนอื่น เพื่อนำมาพูดถึง
บ่อยครั้งที่เรามักเจอคำพูดแย่ ๆ จากคนรอบข้าง

ถ้าไม่รู้จักดูแลจิตใจ ความรู้สึกของตัวเอง
เราจะถูกบั่นทอนทีละนิด...
  

คนข้าง ๆ ฉันคนหนึ่ง ชอบล้อปมด้อยของคนอื่น
ด้วยคำพูดรุนแรง แล้วหัวเราะอย่างมีความสุข
ว่าคนนั้นขาใหญ่ ว่าคนนี้ตัวดำ
ยิ่งถ้าเขาล้อใคร แล้วคนฟังนั่งปาดน้ำตา
เขายิ่งมีความสุข

ที่สำคัญคนที่เขาติ ก็เป็นเพื่อนที่แสนดีของเขาทั้งนั้น...

ฉันพยายามเข้าใจเขา เพื่อดูแลหัวใจตัวเอง
ไม่ให้ถูกบั่นทอนไปตามคำพูดของคนประเภทนี้

เข้าใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องหาทางตอบโต้
เพื่อสะกิดให้เขารู้ตัวว่าเขากำลังติเราอยู่
เพราะเขาจะอาย และรู้ตัว
แต่ถ้าเราไปโวยวาย อับอาย
เขาจะยิ่งสนุก และทำบ่อยขึ้น
พอเขาว่าอะไรมา ฉันจะทำเฉย ๆ

เดี๋ยวเขาหมดสนุกก็เลิกไปเอง
ถ้ายังไม่เลิกต้องหาคำพูดเจ็บ ๆ

ตอบโต้ไปบ้าง


(อย่าว่าฉันร้ายนะ) แค่อยากให้เขารู้ตัว
แล้วได้ผลด้วย เขาจะเงียบไปพักใหญ่ ๆ เชียว
ที่สำคัญใจเราต้องหนักแน่น อย่าหวั่นไหว
ที่เขาว่ามา เป็นปมด้อยของเราก็จริง

แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้
ที่เขาติมาเพราะเขามองหาส่วนแย่ ๆ ของเราต่างหาก

ที่ดีๆ ก็มี แต่เขาไม่พูด
ตัวเราย่อมรู้ตัวเองดีที่สุด
เชื่อในคุณค่าของตัวเอง ไว้ใจตัวเอง
ดูแลหัวใจของเราให้ดี
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธคำพูดแย่ ๆ จากคนอื่น
รู้แหล่งที่มาอย่างมีเหตุผล
แล้วจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนหัวใจเราได้เลย... 






                                                        จาก ... กล้าที่จะก้าว  ของ  cartoon